พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตที่สร้างจากไม้นี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงราวต้นศตวรรษที่ 9 และเป็นพระประธานภายในวัดชินยะคุชิจิซึ่งได้รับความศรัทธาเป็นอย่างมากเนื่องจากช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ อาทิ โรคหัวใจ ความเจ็บป่วยทางกาย เป็นต้น โดยมีพระหัตถ์ซ้ายถือกระปุกโอสถซึ่งมียาที่ช่วยรักษาโรคภัยทั้งปวง
ส่วนลำตัวตั้งแต่พระเศียรลงมาถูกแกะสลักจากต้นกะยาหนึ่งต้นโดยนำส่วนที่เป็นแกนของลำต้นมาใช้งาน ซึ่งคาดว่าลำต้นเดิมน่าจะมีขนาดใหญ่มากโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 เท่าของช่วงกว้างของลำตัวได้ เนื่องจากองค์พระพุทธรูปถูกสร้างขึ้นจากต้นไม้ที่มีอายุมากกว่า 1000 ปีและสร้างมาได้ประมาณ 1000 ปีแล้ว ดังนั้นหากนับตั้งแต่อายุของต้นไม้จวบจนถึงปัจจุบันนี้ก็ผ่านมานานมากกว่า 2000 ปีขึ้นไปแล้วนั่นเอง
“พระรัศมีแสงด้านหลัง” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแสงที่เปล่งประกายออกมาจากทางด้านหลังของพระพุทธรูปถูกสร้างขึ้นตามแบบตะวันตกซึ่งมีลักษณะแผ่ขยายขึ้นไปทางด้านบนเพื่อสะบัดใบไม้ขนาดใหญ่ของต้นเหงือกปลาหมอที่พบได้ในเส้นทางสายไหมเพื่อทำให้ดอกไม้เบ่งบาน ส่วนพระพุทธรูปขนาดเล็กทั้งหกองค์ที่ประทับอยู่บนดอกไม้จะแสดงถึง”พระไภษัชยคุรุทั้ง 7” ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงแรกการก่อสร้างเพื่อช่วยขอพรให้ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บของจักรพรรดิโชวมุเท็นโนไปพร้อมกับองค์พระประธาน
ลักษณะขององค์พระทำให้รู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งและสงบ มีความปีติท่วมท้น ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติในฐานะของพระพุทธรูปแกะสลักที่ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

ยาคุชิเนียวไร ตั้งปณิธานไว้ 12 ประการจากความปรารถนาที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในสมัยที่ปฏิบัติธรรม โดยคำปณิธานทั้ง 12 ประการนี้ช่วยให้บรรลุธรรมแต่ละประการได้จึงมีการนำมาแสดงในรูปแบบของ “แม่ทัพสวรรค์ทั้ง 12” ซึ่งเป็นแม่ทัพสวรรค์นี้เป็นจอมทัพที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาองค์ละ 7000 นายรวมทั้งสิ้น 84,000 นาย คอยทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองทั้ง 12 ทิศในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ของยาคุชิเนียวไร
รูปปั้นแม่ทัพสวรรค์ทั้ง 12 ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 8 โดยเป็นรูปปั้นแม่ทัพสวรรค์ทั้ง 12ที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่มากที่สุด นอกจากนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติของชาติในฐานะที่เป็นผลงานชิ้นเอกด้านงานประติมากรรมรูปปั้น ประติมากรรมนี้สร้างขึ้นจากรูปทรงที่มีขนาดใหญ่ด้วยดินเหนียวผสมฟางข้าวและม้วนเชือกพันเข้ากับไม้ หลังจากที่มีการผสมแร่ไมกาเข้ากับกระดาษเพื่อเคลือบทับแล้ว จะมีการใส่ลูกแก้วสีเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึก สำหรับผิวหน้านั้นจะมีความสดใสและแต่งแต้มสีสันในรูปแบบของสามมิติ โดยสีที่ใช้ในเวลานั้นบางส่วนยังคงหลงเหลืออยู่จวบจนถึงปัจจุบัน
รูปปั้นแม่ทัพสวรรค์ทั้ง 12 นั้นแต่ละองค์จะมีสีหน้าและท่าทางในแบบฉบับของตัวเอง โดย “แม่ทัพสวรรค์บาซะระ” ซึ่งยืนตระหง่านด้วยท่าทางแสดงความโกรธจนผมลุกตั้งชันนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนมีการนำจัดมาพิมพ์ลงบนแสตมป์ ฯลฯ
ไม่มีวัดใดที่เราสามารถเข้าชมสมบัติของชาติ อาทิ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต, แม่ทัพสวรรค์ทั้ง 12 ในแบบใกล้ชิดได้มากเท่าที่นี่อีกแล้ว